วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

โรคจอประสาทตาเสื่อม ( AMD ) ป้องกันด้วย ลูทีน(LuteinPlus)

     โรคจอประสาทตาเสื่อม เป็นโรคที่มีความผิดปรกติเกิดขึ้นที่จุดกลางรับภาพของจอประสาทตา (Macula) ซึ่งเป็นส่วนที่ไวต่อการมองเห็นมากที่สุด โดยผู้ป่วยมักจะไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปรกติในระยะเริ่ม ต้น มารู้ตัวเมื่อมีการสูญเสียการมองเห็นเกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม โรคจอประสาทตาเสื่อมจะทำให้สูณเสียการมองเห็นเฉพาะตรงกลางภาพ โดยที่ผู้ป่วยยังสามารถมองเห็นบริเวณขอบด้านข้างของภาพได้อยู่ โรคนี้มีอุบัติการสูงขึ้นมากในกลุ่มอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
       เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของภาวะตาบอดแบบถาวรในผู้สูงอายุ บุคคลที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม คือ ผู้สูงอายุ ดังนั้นผู้มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปจึงควรได้รับการตรวจจอประสาทตาทุก 1-2 ปี นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน คลอเลสเตอรอล สูง และประวัติบุคคลในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้มีโอกาสเกิดโรคนี้ได้มากกว่าคนทั่วไป
        ชนิดของจอประสาทตาเสื่อม
         โรคจอประสาทตาเสื่อมมีลักษณะของโรค 2 รูปแบบ คือ
    1.แบบแห้ง หรือแบบเสื่อมช้า (Dry หรือ Atrophic AMD) เป็นรูปแบบที่พบได้มากที่สุด โดยเซล จอประสาทตาจะค่อยๆเสื่อมเสียไปอย่างช้าๆ ความสามารถในการมองเห็นจะค่อยๆลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จนผู้ป่วยแทบไม่ทันได้สังเกตุ
    2.แบบเปียก หรือแบบเร็ว (Wet หรือ Neovascular AMD) พบประมาณร้อยละ 10-15 ของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด จะเกิดการสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็วทันที เป็นผลจากจุดกลางรับภาพจอประสาทตาบวมและ/หรือมีเลือดออกจากเส้นเลือดผิดปรกติใต้จอประสาทต(Choroidal neovascular membrane)
    เราสามารถดูแลตัวเองเพื่อลดโอกาสการเกิดโรคและการตาบอดจากโรคได้ โดย
   1.หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆเช่น งดสูบบุหรี่ รวมทั้งหลีกเลี่ยงจากควันบุหรี่ด้วย งดอาหารที่มีไขมันสูง
       ถ้ามีโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงเช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ต้องรักษาและควบคุมให้อยู่ในเกรณ์ปรกติ
   2.หมั่นออกกำลังกายแบบ aerobic exercise อย่างสม่ำเสมอโดยเลือกประเภทให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยานอยู่กับที่ ว่ายน้ำ ในผู้สูงอายุหรือผู้มีปัญหาเรื่องข้อ การทำกายบริหารในสระน้ำจะช่วยให้ออกกำลังได้ดี โดยต้องมีเกรณ์ในการตรวจวัดชีพจรขณะออกกำลังกายให้เหมาะสมตามอายุและสภาพร่างกายด้วยจึงจะได้ผลดีและสามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ได้
   3.หลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า ใส่แว่นตากันแดดเวลาออกนอกอาคารสถานที่ โดยเลือกเลนส์แว่นตาที่สามารถป้องกันแสงสีฟ้าและรังสี UV ได้ 99-100% และควรลดทอนความจ้าของแสงลงได้ 70-80%
   4.รับประทานอาหาร ผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อดวงตา พบว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิด lutein/zeaxanthin มีอยู่ที่ตาในปริมาณสูงและมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตาและเลนส์แก้วตา อาหารที่มีสารนี้ในปริมาณสูงได้แก่ ไข่แดง มีมากที่สุด รองลงไปได้แก่ผลไม้และผัก ผลไม้ ได้แก่ ข้าวโพดเหลือง ผลกีวี องุ่นแดงไร้เมล็ด ฟักทอง ผัก ได้แก่ ผัก zucchini ผักขม(spinach) แตงกวา ถั่วลิสง เป็นต้น สำหรับผักใบเขียวเข้มชนิดต่างๆของไทย ก็เชื่อว่ามีสารนี้อยู่มากเช่นกัน
   5.การรับประทานวิตามินหรือสารอาหารทดแทนในรูปของยาสำเร็จรูป ควรให้จักษุแพทย์ตรวจดูสภาพจอประสาทตาก่อนว่ามีความจำเป็นที่จะต้องได้รับยาเสริมหรือไม่ เพราะในยาพวกนี้มีปริมาณวิตามิน และสารอาหารทดแทนในปริมาณสูงมาก การรับประทานโดยไม่จำเป็นอาจทำให้มีการสะสมจนก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ และจากผลการศึกษาพบว่ายาในกลุ่มนี้ไม่สามารถป้องกันการเกิดโรค หรือรักษาการมองเห็นที่เสียไปแล้วให้ดีขึ้นได้ แต่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมไม่ให้เข้าสู่ระยะรุนแรงได้ ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนซื้นมารับประทานเอง
   6.เข้ารับการตรวจสุขภาพตาและจอประสาทตาเป็นระยะตามคำแนะนำในแต่ละช่วงอายุ และหมั่นคอยสังเกตการมองเห็นในตาแต่ละข้างว่าปรกติดีหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจควรรีบปรึกษาแพทย์ ไม่ควรรอจนมีอาการตามัวอย่างชัดเจน เพราะอาจแก้ไขได้ยาก






    ปัจจุบัน ป้องกันปัญหา โรคจอประสาทตาเสื่อม ด้วยผลิตภัณฑ์ ลูทีน(LuteinPlus)
           ดูข้อมูลที่   http://luteinplusminerygold.blogspot.com  
           อย. 10-1-07143-1-0017
           ปริมาณและราคา
           ลูทีน(LuteinPlus) 1 ขวดบรรจุ 30 แคปซูล(น้ำหนักสุทธิ 14.08 กรัม) ราคา 700 บาท
           ขนาดรับประทาน วันละ 1 แคปซูล ควรเก็บไว้ในที่แห้งในอุณหภูมิห้อง 25 องศาเซลเซียส
           สั่งซื้อที่ วีระชัย  ทองสา โทร. 084-6822645 , 085-0250423
                       อีเมล์ weerachai.coffee@hotmail.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น